ทักทายกันหน่อย

สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับสู่เวบไซต์ Thai ebaY Articles ผมตั้งใจทำเวบนี้ขึ้นมาเพื่อรวมรวบสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวกับอีเบย์ให้อ่านง่ายขึ้นครับ ... ขอบคุณครับ

16 มิถุนายน 2554

roadmap รวยด้วยอีเบย์ เขียนให้ดู เผื่อใครอยากลอง

ที่มา : thaiseoboard , ผู้เขียน numau109

ผมตั้งกระทู้นี้ เพราะเห็นสมาชิก TSB 2-3 ท่านตั้งกระทู้ขึ้นมา ทำให้นึก ๆ ย้อนไป 2-3 ปีที่แล้วว่าเรามาเข้าบอร์ดนี้เพราะอะไร   ตอนแรกก็แค่อยากลองหาสิ่งใหม่ ๆ หาเงินให้ได้ทางเน็ต  ผมก็ลองอีเบย์อันดับแรกเลย  จะบอกว่ามันทำตังค์ให้ได้จริง ๆ และได้เห็น ๆ เลย  ถ้าสินค้าเราไม่แย่จนเกินไป   จริง ๆ ของ ๆ ไทย ผมว่าขายได้อยู่แล้ว  เอาง่าย ๆ ที่จัตุจักร  ก็มีฝรั่งไปซื้อทุกเสาร์อาทิตย์ พ่อค้าแม่ค้าที่นั่นเค้าก็ขายได้  แล้วนี่เราเอาไปเซิร์ฟขายเค้าถึงที่ คิดค่าส่งอะไรแล้วก็ยังถูกกว่าเค้าบินมาซื้อเองเลยครับ

แถมกำไรก็ไม่ ใช่น้อย ๆ ตอนแรกผมทำเล่น ๆ (แต่ทำจริง) กะคร่าว ๆ กำไรอันละ 3 พัน  เดือนนึงได้ หมื่นสอง  เพราะขายได้เฉลี่ยสัปดาห์ละอัน  แบบว่าขี้เกียจโปรโมท   รวม ๆ ได้มากกว่ารายได้ประจำ (ในตอนนี้) ของผมอีก

แต่ ตอนหลัง ๆ ดันมาเบนเข็ม ทำ aff ทำ  hotel ทำ adsense    แล้วก็ทิ้งอีเบย์ไป   ทุกวันนี้ขาดทุนสุด ๆ   ถ้ารู้งี้ทำอีเบย์ต่ออาจจะรุ่ง... แต่ความรู้ที่ได้มานอกกรอบนี้ ก็ทำให้ผมทำอะไรได้มากขึ้น  เขียนเว็บเป็นแล้ว  แต่งหนังสือได้ ทั้ง ๆ ที่ชีวิตนี้ไม่เคยคิดว่าจะทำได้  555


นอกเรื่องไปเยอะแล้ว  สรุปว่าใครที่ผิดหวังกะ amazon กับ adsense จะมาลองขายอีเบย์ดูก็ได้นะครับ   แนะนำแบบนี้ถ้าอยากขาย

1. ซื้อหนังสืออีเบย์สัก 1-2 เล่มมาอ่าน  ผมแนะนำของคุณกิต จรรยาประเสริฐ   ซึ่งผมไม่ได้รู้จักอะไรเค้าหรอกครับ  แต่เขียนดี ใช้ได้จริง ละเอียดมาก
2. ขายอะไรดี  ก็ไปหาในอีเบย์นั่นแหล่ะครับ ว่าเค้านิยมค้นหาอะไร  ถ้าอยากอ่านเทคนิค แนะนำของคุณโจ  อนุชา ลีวรกุล  เขียนดีมากเหมือนกัน
3. ขายยังไง  แนะนำแบบจับเสือมือเปล่า  ไปถ่ายรูปที่ร้านที่จะไปซื้อมาขายเลย  แล้วเอามาแต่งด้วย photoshop เอา   วิธีแต่งรูป ในหนังสือที่แนะนำก็บอกหมด
4. พิมพ์ listing ยังไง   เอาแบบง่าย ๆ  ก็เขียนตามคนอื่นเค้าครับ พยายามให้เป็นแบบของตัวเอง อย่าก็อบมาทั้งดุ้น ไม่ดี ๆ

เทคนิคอื่น ๆ  ในหนังสือมีครบหมดแล้วครับ (ไม่ได้จะเชียร์ซื้อหนังสือนะครับ)  

อยาก ให้มาลอง ๆ ดุกันครับ ทำดี ๆ ก็รวยได้  สัปดาห์นึงก็ทำงาน 2-3 วัน คือส่ง listing กับห่อของ ไปส่งไปรษณีย์  ผมว่าเงินมาเห็น ๆ (ตามความคิดผมนะ) เพราะทำ amazon กับ adsense แล้วไม่สำเร็จซะที  ผมคงไม่ถนัดจริง ๆ  Lips Sealed

ใครชอบก็ +1 นะครับ จะมาพิมพ์ต่อ แนวบ่น ๆ

อ่ะ.. เล่าต่อ

คุณจำกันได้มั้ย  เมื่อ 3 ปีที่แล้ว   องค์พระจตุคามรามเทพดังมาก  ใคร ๆ ก็เช่าหาไว้บูชา

บ้านผมอยู่ใกล้วัดพอดี  ในกทม.นี่แหล่ะ   ที่วัดเค้าปลุกแจกเพื่อปล่อยเช่าพอดี  ผมก็เลยลองไปเช่ามา  ตอนนั้นยังไม่จับเสือมือเปล่า...

เช่ามาองค์ละ 150  แต่เราก็ตามราคาตลาด ไม่ตัดราคาใคร  และของเราก็แท้ด้วย  เราปล่อยไปองค์ละ 6-7 ร้อย

ประมาณ 6 เดือน  ก็ปล่อยเช่าไปได้ 33 องค์  แต่ตอนนี้เลิกแล้ว   แต่เจ้าอาวาสยังจำผมได้  Embarrassed


ต่อมา ผมก็อ่านหนังสือเพิ่ม  เอ้า.. บอกว่าจัตุจักร มีของมากมายให้เลือกสรร   แล้วก็มีอะไรบ้างที่ฝรั่งชอบ

1.เสื้อผ้า  2.เครื่องประดับบ้าน 3.อิเล็คทรอนิก 4. และ 5. จำไม่ได้

ผม ก็พยายามคิดว่าถ้าเป็นฝรั่ง อยากซื้ออะไร   เอาง่าย ๆ   คุณไปยืนดูที่ logistic ในจัตตุจักร  เค้าส่งอะไรไปเยอะ ๆ คุณก็ไปดูอันนั้นแหล่ะ  แสดงว่าฝรั่งซื้อกลับจริง แต่มันแบกไม่ไหว (คงอยากได้มากกกกก)
---> นี่ก็ใบ้เยอะแล้วครับ    ผมไปดู มีกลองมโหรทึกด้วย   คุณจะลองขายดูก็ได้

จาก นั้นก็แบกกล้องไปอันนึง  เจอร้านที่ถูกใจ  ขอเค้าถ่ายรูป  เค้าจะไม่ให้ถ่ายครับ เพราะกลัวโดนก็อบ   บอกไปเลยว่าเราจะเอาไปขายอีเบย์  ถ้าไม่ได้อีก  ก็ซื้ออะไรถูก ๆ มาอันนึง  (แต่ต้องคิดว่าขายได้แน่ ๆ)  แล้วก็ขอถ่ายอันที่คิดว่าขายได้แน่ ๆ

จากนั้นก็กลับบ้านเอารูปมาแต่งด้วย photoshop  ถ้าเก่งหน่อย คุณก็เปลี่ยนสีเองเลย  จะได้สินค้าหลาย ๆ ชิ้น....




อ่ะ... สนใจจะฟังต่อมั้ยครับ  Tongue

อ่า.. มีคนอยากฟัง 1 คนก็จะเล่า

จากนั้นก็อัพ listing ครับ... มันจะใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ เพราะค่าธรรมเนียมแพง (มาก)  แต่อีเบย์มันดีที่ traffic  เดี๋ยวเรามีวิธีแก้

พอขายได้  เราก็กลับไปร้านเดิม  ขอซื้ออันที่ขายได้นั่นแหล่ะ  แล้วก็ส่งไปเลย  (ผมข้ามเรื่องเทคนิค เพยพงเพยพาลนะครับ ขี้เกียจเขียน)

จากนั้น  ขอถ่ายรูปเพิ่ม  ขอนามบัตร  ซื้ออย่างอื่นอีก (ถูก ๆ)

คุณ ทำวนแบบนี้ไปเรื่อย ๆ  คลังภาพสินค้าจะมีเป็นกระบุง  แต่เราไม่อัพ list ทั้งกระบุงนี่หรอกครับ มันแพง  เรามีวิธี (บางคนคงรู้อยู่แล้ว)


อยากฟังต่อมั้ยครับ  เดี๋ยวเล่าต่อ ๆ  คืนนี้ผมว่างพอสมควร 

กระทู้ไม่แป๊กแล้ว หุ หุ   Cry

อย่างที่บอกครับ ว่าอีเบย์มัน traffic ดี แต่ค่าธรรมเนียมแพง   ตอนนั้น (ซึ่งวิธีนี้ก็ยังใช้ได้อยู่)  ผมเลยแก้ปัญหา 2 แบบ

1. ทำเว็บเองซะเลย   พอดีไปคุยกะ logistic ที่ไปส่งบ่อย ๆ  เค้าบอกว่า โอย... ผมขายจากเว็บผมเองได้มากกว่าอีเบย์อีก

วิธี ก็คือ   เราทำหน้า Me page สวย ๆ  แนะนำตัวเราซะเลย  แล้วบอกว่ามีเว็บด้วย  ซึ่งอันนี้อีเบย์ไม่ห้าม  แต่ถ้าไปบอกใน listing เลยนี่โดนแขวนแน่ ๆ  (ถ้าตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้วก็ขออภัย)

ถ้าวิธีเทา ๆ ก็คือ

คุณ พยายามแทรกรูปใน listing โดยปกติ หนังสือทั่วไป บอกว่าใหฝากที่ photobucket ใช่มั้ย  แต่ผมไม่ทำ  ผมฝากที่โฮสตัวเอง โดเมนตัวเองเลย  แถมตั้ง alt ด้วย   อย่างน้อยตอนวางเมาส์ผ่าน ก็ขึึ้้นเว็บเราได้

แต่ที่วางลายน้ำชื่อเว็บนี่ รู้สึกจะผิดนะครับ  อย่าลอง

อ่ะ  แต่อันนึงที่ทำได้คือทำกรอบให้รูปนะครับ  ทำาีแดง ๆ เลย เด่นดี  ไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่ม

พิมพ์ต่อ ๆ

2. คือไปขายที่อื่นบ้าง  ioffer อะไรอย่างนี้  ผมเห็นอีกกระทู้นึงก็เขียน  นั่นถูกต้องเลย  ถ้ามันฟรีเราก็ไม่เฉยครับ  ผลลัพธ์ผมว่าง่ายกว่าำทำ SEO ให้ adsense อีก

ย้อนกลับไปข้อหนึ่งเพิ่มเติม

นี่ เป็นที่มาว่าทำไมผมเขียนหนังสือ 2 เล่ม  เพราะสมัย 2-3 ปีที่แล้ว หนังสือสอน CMS e-commerce มีน้อย  อันที่มีก็สั้นเกิน   เลยเขียนเองซะเลย  ตอนแรกเอาภูมิใจเป็นหลัก  แต่หนังสือก็มีคนสนใจเยอะ  แต่กระทู้นี้ผมไม่ได้ตั้งประเด็นมาขายหนังสือผมนะครับ มันนอกประเด็น

เอา เป็นว่าพอทำเว็บเอง  แล้วเราก็ไปทำ me page  ใส่รูปสินค้ามหึมาอลังการ ยัดลงไปเลย  บอกว่ามีที่เว็บเรา  แต่อันที่เรา list ไว้ ก็ต้องเป็นสินค้าประเภทแบบเตะตาสุด ๆ ราคาจะตั้งก็แล้วแต่ชอบ

แต่ สำคัญคือราคาที่เว็บเราถูกกว่า  แน่ล่ะครับ เพราะเราไม่มีค่าธรรมเนียมแล้วนี่  แต่เว็บเราก็พยายามเชื่อมกับ paypal อยู่ดี เค้าจะได้ซื้อเพราะน่าเชื่อถือ


เดี๋ยวต่อีกครับ  แหะ ๆ  wanwan022

ปัญหาในการขายก็คือ  เรากลัวมีปัญหา....  wanwan001


พอมองย้อนกลับไป  ผมเสียดายจัง  ที่แก้ปัญหาไม่เป็น    ถ้าถามตอนนี้เหรอ... ก็ดังน้ครับ

1.  ถาม google ครับ หรือบอร์ดคนที่เล่นเยอะ ๆ  เพราะปัญหาส่วนใหญ่ ๆ ใคร ๆ ก็เจอ  มีคนถามอยู่แล้ว
2. มีหลายเว็บรับจ้างแก้ปัญหาให้ครับ  จ้าง ๆ ไปเถอะ  ผมมองว่าไม่แพง  ตลาดอีเบย์ใหญ่ แล้วทำกำไรได้เยอะกว่า   คุณเชื่อไหม  ผมไปเอาของมาขาย  นั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน - ลอยฟ้าไปเลย  สบายออก  เพราะกำไรมาก  ลูกค้าเป็นคนจ่าย.... อันนี้แล้วแต่จะคิด  ถ้าอยากได้เพิ่มคุณก็ลองประหยัดอีก... แต่ผมไม่ไหวแล้ว เพราะอาชีพประจำก็เหนื่อยอยู่แล้ว
3. ห่อของ แต่ไม่มีกล่อง  --> จ้างทำกล่อง
4.  ไม่มีเวลาไปส่ง --> จ้างคนไปส่ง
5. หนัก ๆ เข้า  ก็จ้างร้านที่เราไปเอาของไป ให้ส่งให้

คิดว่าลูกค้าเป็นคนจ่าย ... เราก็ทำงานง่ายขึ้น  ก็... แล้วแต่จะคิดนะครับ อยากได้เพิ่มก็ประหยัด  แต่ก็เหนื่อยขึ้น จนขี้เกียจทำ

ก่อนจะนอน (แล้วจริง ๆ)

มาบอกว่าที่ไหนเอาของมาขายได้ดี   ผมเฉลยให้อันนึง (เพิ่งนึกออก จริง ๆ ก็บอกไปแล้ว)

นั่นคือกลุ่มเครื่องรางของขลัง... ไม่รู้ทำไม  สงสัยฝรั่งคิดว่าเป็น symbol มั้ง

ผมว่าตอนนี้ในใจทุกคน คงจะคิดคล้าย ๆ กันว่าที่ไหน.... ท่าพระจันทร์ไงครับ  ตลาดพระเยอะ....

ไม่รู้สินะ  ผมสารภาพเลยว่า เคยใช้วิธีจับเสือมือเปล่าที่นั้นเหมือนกัน  แล้วมันก็ขายดีด้วย

คิด ดู เฉลี่ยอันละ 50 บาท แต่ขาย 10 USD ก็ 300 ไม่รวมค่าส่ง  กำไร 200 บาทขึ้น ขายสัปดาหละ 10 อัน  1 เดือนก็เท่าเงินเดือนขั้นต่ำข้าราชการแล้ว  (มากกว่าอีก)

อ่ะ... แต่ผมถึงทำไมใช้ว่าขาย... เพราะมันปลอมครับ !!!

ตะกรุด แท้ที่ไหน อันละ 50 บาท ไม่มีหรอก... แต่ในอีเบย์ทุกวันนี้ ผมก็ยังเห็นมีคนขาย  แต่จริง ๆ จะจริงหรือเปล่าไม่รู้   แต่ของผมปลอมแน่ เพราะตามคนขายเลย  บอกว่าปลอม... อ้าว แล้วไม่บอก

เผลอขายไป 4-5 อัน  ขับรถชนท้ายปั๊บเลย  จ่ายไป 4 พันสด ๆ   ร้อยวันพันปีไม่เคยชน  เชื่อเลยกฏแห่งกรรมจริง ๆ เลิกเลย (แต่ตอนที่ขาย 4-5 อันนี่ก็ไม่รู้นะครับว่าปลอม)

ทางแก้คือ  ก็เอาไปปลุกเสกก่อนครับ... กลายเป็นของแท้ ซึ่งหมายถึงมีพุทธคุณในวัตถุ


แต่ทำไมต้องทำเรื่องให้ยุ่งยาก  ผมว่าไปขายอย่างอื่นดีกว่า

ที่จะบอกในประเด็นนี้คือ  อย่าขายของปลอมครับ .... ถึงไม่ใช่ปลอมยี่ห้อแบบที่อีเบย์ชอบแบน  แต่มันก็ไม่ดี   มันบาป  ทำได้ไม่นานครับ

เอาหล่ะ วันนี้มาต่อครับ

ขอเกริ่นเรื่อง วิธีส่งของ 55+

เพราะ ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีใครเขียน ถ้าหมายถึงว่าส่งแบบ พัสดุ SAL ฯลฯ  อะไรนั่น  ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้นนะครับ เพราะ searh ใน google ก็มีคนเขียนเยอะแล้ว  ผมไม่พูดซ้ำ

ประเด็นก็คือ  ของบางอย่างเราส่งได้ เฉพาะบาง logistic นะครับ 

เช่น FedEx  บางเจ้า  (ผมหมายถึงที่เป็น dealer อีกที ไม่ใช่บริษัทแม่)  เค้าไม่รับส่งบางประเภท....   แต่ไม่ใช่หมายถึงทางอเมริกา หรือทางอีเบย์ผิดกฏนะครับ  ยังขายได้

55+  ใบ้อีกแล้ว.... ถ้าคุณไปหาดูว่าอะไรบ้างที่ส่งยาก ๆ  แล้วคุณพยายามขายมันซะเอง   55+  นึกออกหรือยังครับ

ประเด็นที่สอง  แตกจากประเด็นแรก... แต่คงรู้กันอยู่แล้วมั้ง

ถ้าส่งพัสดุไปรษณีย์ไทย  จะถูกสุด  แต่คุณต้องเผื่อเวลาให้มันด้วย  ประมาณ 2 เท่า

ผม เคยส่งของไปเมกา  ถามทาง ปณ. บอกว่า 2-3 เืดือน  (ทางทะเล)  ที่จริงก็คุยกะลูกค้าแล้ว  เค้าก็เอายังงี้... อ่ะอยากได้ก็จัดให้  คงอยากประหยัดตังค์

แต่ใช้เวลาจริง 6 เดือนครับ  โอ้โห... แต่ดีมากที่ลูกค้าไม่ว่าอะไรเลย  ไม่บ่นสักคำ  จะบอกว่าผมส่งของไปผิดสีต่างหาก....

ประเด็นก็คือ ไม่กลัวยึดเงินทาง paypal คืนหรือครับ  ตอบว่าไม่   เพราะเกิน 45 วัน ก็ยึดไม่ได้แล้ว

ก็ จะบอกอีกว่า ส่งของโดยใช้บริการที่นานนิดนึงครับ หรือถ้าส่งเร็วแบบ EMS ก็ต้องมีประกัน  อย่างไปรษณีย์ไทยนี่จ่ายไม่เกิน 1,800 บาท  เราก็ต้องส่งของราคาที่ว่า ถึงได้ค่าประกัน 1,800 คืนก็ยังคุ้ม  ถ้าแพงกว่านั้น ก็ให้ส่งใช้เวลานาน ๆ กว่า 45 วัน

ลองกลับไปอ่านอีกทีนะครับ  วิธีเทา ๆ  เดี๋ยวเขียนอีก  จะมีใครอ่านมั้ย


แต่ ที่สุดแล้ว  ขายของด้วยความสุจริตดีสุดครับ   ไอ้วิธีเทา ๆ ที่บอกนี่ไว้รับมือกับลูกค้าห่วยแตกครับ เพราะอีเบย์เข้าข้างลูกค้ามากกว่าอยู่แล้ว  หุ หุ

มาต่อเรื่องส่งของครับ


เนื่องจากผมเคยขายของอยู่ 2 อย่าง   อันแรกก็ที่บอกไปคือจตุคาม... กำไรก็พอสมควร  แต่จริง ๆ หมดไปกับการโฆษณาเยอะเหมือนกัน   ซึ่งพระเครื่องแบบนี้ ผมส่งแบบ EMS หมดเลยครับ  แถมใสซองกันกระแทกอีก...  เรียกว่าซื้อใจลูกค้าเลย      แถมทำดี ๆ กำไรก็ยังเยอะอยู่  แล้วคุณเชื่อมั้ย มีคนที่กลับมาอุดหนุนอีกรอบด้วย !!! 

อีกอันที่ขาย... 55+ ไม่บอกครับ ... ผมยังเก็บไว้อยู่  มันเป็นโจทย์ที่คุณต้องหากันเอง...  แต่อันนี้จะบอกว่า น้ำหนักมาก   หนักจนผมขี้เกียจทำต่อเพราะมันเหนื่อย และกระทบต่องานหลักของผม (อันนี้จะมาว่าผมขี้เกียจไม่ได้นะครับ  wanwan012 )

แต่ตอนนี้ ท่าน ๆ ที่กำลังทำอยู่  ก็อยากรวยจากอีเบย์ใช่มั้ย   งั้นก็จะมาขี้เกียจไม่ได้  55+

กำลัง จะบอกว่า ขายทั้งที  ก็ต้องเลือกกำไรดี ๆ  เสียเวลาแล้วก็ต้องได้กำไรมาเยอะ ๆ   ผมปล่อยเช่าพระ 10-15 องค์  ต้องเขียน lising 10-15 ครั้ง   สู้มาขายอันเดียว ได้กำไรเท่ากันเลย แต่.... เสียเวลาห่อ 2 ชม.ต่อชิ้น


สินค้า อะไรห่อ 2 ชม.ต่อชิ้น   มันใหญ่ครับ  ผมต้องไปซื้อโฟมตัดเป็นแผ่น ๆ มารอง.. กล่องก็ไม่มี ต้องไปไปรษณีย์ซื้อกล่องใบใหญ่สุด 2 ใบมาตัดใหม่  แล้วพันเทปเอง   แต่คุ้มครับ  เขียน lising แล้วอัพ 1 ชม. + ไปรับของมาอีก 1.5 ชม.  แล้วห่อ 2 ชม.     ทำงาน4.5 ชม.ได้กำไร 2-3 พัน   ก็ดีกว่างานทั่วไปเห็น ๆ  แถมถ้าคุณทำได้มากกว่านี้  จะเสียเวลาต่อชิ้นน้อยกว่านี้อีก  เพราะ listing มันก็ซ้ำ ๆ กัน  ไปรับก็ใช้เวลาเท่าเดิม  แล้วถ้าขายได้เยอะก็ไปจ้างทำกล่องดีกว่า เหลือเวลาคงแค่ 10 นาทีต่อชิ้น

แค่คิดก็อู้หูแล้ว... แต่ต้องทำด้วยครับ... ผมเองคงงดไว้ก่อน  ตอนนี้ยังมีภาระที่สำคัญกว่า

แต่ยังว่างมาเขียนบอก แต่ก็ขอ +1 หน่อยนะครับ  Tongue

วันนี้ต่อ ๆ นะครับ

จริง ๆ ผมก็ไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ สงสัยเป็นหวัด ...

ขอเสนอเรื่องอย่าให้โอกาสหลุดมือครับ

หลัง จากที่ทำเว็บไปได้สักพัก... อ้อ... เดี๋ยวโพสหน้าผมจะเขียนเรื่องการสร้างร้านด้วยโปรแกรมตัวนึงนะครับ ไว้รับเงินทาง paypal อย่างเดียวเลย แต่ผมว่าดีกว่า CMS อีก...  อย่าลืมเตือนนะครับ

แล้วก็อีกโพส เรื่องเทคนิคทำไงให้ลูกค้าคลิก item ของเรา  (แต่เรื่องนี้อาจจะมะพร้าวไป ฯ ไปบ้าง  ฟัง ๆ ขำ ๆ นะครับ)

เอาล่ะครับ   ต่อ ๆ

หลัง จากทำเว็บเองไปได้สักพัก พร้อมขายอีเบย์ไปด้วย  ลูกค้าก็เริ่มตามเข้าเว็บ  ปรากฏว่าโชคดีมาก  มีลูกค้าจากแถบตะวันออกกลางเค้าสนใจ  บอกอยากซื้อไปขายต่อ  และสิ่งที่เค้าต้องการคือ catalog

ปรากฏว่าผมมัวแต่ยุ่ง ๆ เลยไม่ได้ลืมทำส่งไป  ก็ชวดเงินไปอย่างน่าเสียดาย...

แต่ คิดว่าถึงขั้นถูกหลอกมั้ย ก็ไม่ได้นะครับ  พวกประเทศไนจีเลียนี่เราก็ตัดทิ้ง... ถ้าให้ส่งของไปก่อน ก็ไม่มีทาง หรือเงินไม่โอนก็ไม่มีทางเช่นกัน

สรุปว่า ถ้าเจอโอกาสดี ๆ ก็อย่าช้านะครับ  ผมพลาดเองง่ะ


รู้สึกเรื่องนี้อ่านแล้วเฉย ๆ   อ่านโพสต่อไปล่ะกันครับ   แต่ผมยังเชื่อในทฤษฎีที่ว่า ทำเว็บเสริมไปด้วย ขายได้เพิ่มขึ้นมากกว่า

ต่ออีกสักโพสนะครับ  พอดีผมไม่ค่อยชอบ edit


ผมมีโปรแกรมตัวนึงมา แนะนำ   อย่างที่บอกตั้งแต่แรก ๆ เลยว่า พอทำอีเบย์ก็อยากทำเว็บได้  แต่เมื่อ 3 ปีที่แล้ว  ผมไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเว็บ   html ยังไม่รู้จักเลย   เราก็หาโปรแกรมอะไรง่าย ๆ ที่แบบว่าคลิก ๆ แล้ว  มันสร้างเว็บให้เรา แล้วก็ขายของต่างประเทศได้    ตอนนั้นจำได้ว่าไปอ่านหนังสือของคุณอนุชา  เค้าแนะนำโปรแกรมตัวนึง ชื่อ paypal shop builder   (ปัจจุบัน เปลี่ยน paypal shop maker)

เว็บนี้ครับ ลองไปดู  http://www.hkvstore.com/paypalshopmaker/

โปรแกรม ไม่ได้ยากอะไรมาก  เราไม่ต้องรู้เรื่องอะไรเลย  ใส่แค่รายะละเอียดสินค้า ราคา  แล้วก็ account ของ paypal เราที่เราเอาไว้รับตังค์ก็พอ  พอกด regenerate  มันก็สร้างไฟล์ .html  ต่าง ๆ จนครบ  (หรือ .php ก็ได้)   เราไม่ต้องไปรู้เรื่องการสร้างเว็บอะไรเลย  เรื่องฐานข้อมูล MySQL ก็ไม่ต้อง  (ผมว่าไอ้พวก CMS ที่เราพยายามเรียนรู้ทุกวันนี้ มันยากที่ MySQL นี่แหล่ะครับ)

ความเห็นผมนะครับ  มันก็ดีมาก   ตอนแรกจะเอามาเขียนหนังสือด้วยซ้ำ  แต่คงไม่มีใครรับพิมพ์ เพราะเป็นโปรแกรมที่เค้าขาย (จริง ๆ แคร็ ก  ก็มี ถ้าลองหา)   แต่ราคาเต็มก็ประมาณ 3 พัน  ซึ่งผมว่าถ้าทำเป็นอาชีพมันก็คงน่าจะคุ้มนะครับ

กำลังคิดว่าจะเขียนเรื่องอะไรดี  ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่อง (ที่คิดไว้ในหัว) จะขายอะไรดี + ด้านมืด ๆ   ซึ่งผมว่าอย่าเขียนดีกว่า  ไม่จรรโลงใจเลย

เอาหัวข้อที่คุณ Happymild ถามนี่แหล่ะครับ  ตรงประเด็นเลย แล้วก็ไม่มีใครเขียนถึง  นั่นคือต้องเก่งภาษาอังกฤษหรือไม่

คำถามนี้ถามสั้น ตอบยาก ทำยากครับ  นั่นคือ ถ้าเก่งภาษามันก็ดีสิครับ แน่นอนอยู่แล้ว

รู้ มั้ยครับว่า lising แรกที่ผมทำ ใช้เวลา 3-4 ชม. เพื่อที่จะพิมพ์ไม่กี่บรรทัด  โอ้โหมันยากมาก   แต่ข้อเท็จจริงที่คุณน่าจะทราบ แล้วก็ดีมาก ๆ คือ

- ครั้งต่อไป คุณจะใช้เวลาน้อยลง เพราะคุณชำนาญขึ้นไง
- ถ้าคุณขายของเดิม ๆ  ครั้งต่อไปก็แค่ปรับปรุงนิดนึง  แล้วก็โพสต่อได้เลย
- พิมพ์ผิด พิมพ์ถูก  ไม่ได้ผิดกม.หนิครับ

ปัญหาที่เจอ ๆ ถ้าจะแตกประเด็นในข้อนีี้้้คือ

1. จะเขียน listing ยังไง
2. ถ้าลูกค้าถามจะโต้ตอบยังไง

เดี๋ยว คงมีคนมาตอบ อ้าวได้สิ ผมเป็นหมอ  อ่านอังกฤษเก่งอยู่แล้ว .... ผมจะบอกว่าไม่เกี่ยว ถึงผมอ่าน text เป็นเล่ม ๆ แต่เป็นศัพท์เทคนิคทั้งนั้น ไม่เกี่ยว'ไร เลย   งั้นบอกวิธีนะครับ

ข้อแรก  เขียน lisitng ยังไง

- ง่าย ๆ ครับ   ไปลอกคนอื่นเค้ามาเลย  คนที่เค้าขายอยู่แล้ว  เอาจากคนที่ขายดีด้วย  แต่แบบนี้ทุเรศแน่นอน  เผลอ ๆ เจ้าของเดิมจับได้ ฟ้องอีเบย์ คุณก็โดนแขวนเปล่า ๆ   แล้วลองคิดดูว่าถ้าคุณเป็นคนถูกลอก  ก็คงไม่ happy แน่นอน  ผมหมายถึง ให้ดูเป็นแบบอย่างครับ   ไม่เหมือนแต่คล้าย ๆ ก็ได้  เหมือนจะขายเสื้อ  ยังไงก็ต้องบอกขนาดกะเบอร์เสื้อ แล้วก็สี  ไม่หนีไปไหน  เราคงไม่สามารถเขียนไปอย่างอื่นได้มากกว่านี้
- หรือเขียนภาษาไทยทั้งดุ้น แล้วแปลด้วย GG ครับ  ลองอ่านดูว่ารู้เรื่อองมั้ย
- สุดท้าย เก่งอังกฤษก็เขียนเองแล้ว
- และไม้ตาย... 1 ภาพ แทนคำพูดได้ 1 พันคำ  คุณแปะรูปไปเยอะ ๆ เลย  (อ้อ  เดี๋ยวกระทู้หน้าเขียนเรื่อง รูปสินค้าดีกว่า)  คุณก็ไม่ต้องอธิบายอะไรมาก

ข้อสอง ถ้าลูกค้าถามจะโต้ตอบยังไง

ถือ เป็นยาขมสุด ๆ ครับ  เพราะเราไม่เก่งอังกฤษ  ขนาดเจอฝรั่งเดินมาเรายังเดินหลบเลย  ผมเองเจอคนไข้ฝรั่งก็ไม่อยากตรวจหรอกครับ เพราะคุยไม่รู้เรื่อง

แต่นี่เราคุยผ่านคีย์บอร์ดครับ  ยังไงก็มีเวลาเปิด dict  ทันอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัวครับ

ที่ สำคัญ เรามักจะกลัวว่าเค้าจะไม่รู้เรื่อง  ต้องใช้ tense หรือรูปประโยคแบบไหน   ผมจะบอกว่าก็พิมพ์ ๆ ไปเถอะครับ  ถ้าเราถามไป แล้วเค้าตอบกลับมา แล้วเราก็รู้เรื่อง  แสดงว่าไอ้ที่เราพิมพ์ ๆ ไปมันก็คงโอเคอยู่   คุณอาจจะลองไปทดลองถามรายละเอียดสินค้าที่เค้าขาย ๆ กันก็ได้  แล้วจำรูปประโยคมาไว้ตอบ  ก็เรียกว่าเลียนแบบ และคิดถึง FAQ ที่น่าจะเจอบ่อย ๆ ไงครับ

แล้วฝรั่ง ยังไงก็น่าอ่านที่เราพิมพ์รู้เรื่องนะครับ  ฝัร่งที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษเป็นภาษาพ่อภาษาแม่นี้ก็น่าจะเยอะ   ผมเองเคยตรวจคนไข้โซมาเลีย.. สบายเลย  พูดอังกฤษงู ๆ ปลา ๆ ทั้งคู่

เพื่อ ให้สบายใจ  ลองดูตัวอย่างของผมนะครับ  อย่าหัวเรานะครับ  เรื่องจริง  ผมก็พิมพ์ถูก ๆ ผิด ๆ ไป  ตอนที่ปล่อยเช่าพระ  ผมจำประโยคที่เค้าถามไม่ได้ แต่ก็ประมาณนี้

-เค้าถามว่าทำมาจากอะไร
-ตอบ it made from many material  , such as, wood, rock , flower

-ส่งยังไง
-ตอบ by Thailand Post,  on sea , about 30 day

-ของแท้หรือเปล่า
- yes it real

แล้วถ้าคุณอยากให้ sure ๆ  ผมมักจะตบท้ายด้วยประโยคต่อไปนี้ ทำให้เราดูโง่แต่น่ารัก  ผมว่ามันทำให้เราดูซื่อสัตย์ดี

'sorry for my language, i not expert in English'  Lips Sealed

โพสหน้าเดี๋ยวมาว่าเรื่องการแปะรูป  ถ้ามันยังกฏเดิมนะครับ  จะเขียนละเอียดหน่อย 

ใครอยากฟังก็กด thank เบา ๆ แต่ถี่ ๆ นะครับ  ตอนนี้ผม 114  Tongue

ได้มา 3 thank แล้ว .... งั้นวันนี้ต่ออีกเรื่องนะครับ เพราะไม่ค่อยได้เขียน

เรื่องของภาพประกอบ listing... อย่างที่บอกครับ  1 ภาพ แทนคำได้เป็นพันคำ  ไม่รู้จะเขียนอะไร ก็ถ่ายภาพลงไปเรื่อย ๆ

เมื่อกี้ ผมได้ลองไปดูแบบการลง listing ล่าสุด  เดี๋ยวนี้ลงภาพฟรี ได้ 12 ภาพแล้ว  คิดถึงสมัยก่อนครับ  ฟรีแค่รูปเดียว  ถ้าอยากลงเพิ่มต้องจ่ายตังค์ แต่ถ้าอยากแทรกภาพลงใน listing ฟรีก็ต้องเอาภาพไปฝากกับ photobucket แล้วเอา link มาแปะอีกที

แต่การแทรกภาพลงใน listing ผมว่าก็ยังเป็นสิ่งที่น่าใช้ครับ โดยเฉพาะกรณีที่เราต้องการแทรกภาพมากกว่า 12 ภาพ

แต่ตอนนั้น ปัญหาที่ผมเจอคือ เข้าเว็บ photobucket ได้ช้ามาก ๆ  ไม่รู้ทำไม   ตอนนั้นเลยต้องใช้ mediafire แทน  ก็พอถูไถ

แล้ว อีกปัญหาใหญ่อีกปัญหานึงคือ  รูปที่เราพยายามอัพขึ้นไปใช้  เรามักถ่ายด้วยความละเอียดสูง  5-8 ล้าน  เพราะกล้องเดี๋ยวนี้ก็ถูกลงมากแล้ว


แต่ผลก็คือภาพขนาดใหญ่มากครับ ขนาดตั้งแต่ 1 MB ไปจนถึง 4 MB

ถ้าแสดงรูปใหญ่ ๆ ก็โหลดช้า  พอโหลดช้า ฝรั่งไม่รอดู ก็ปิดครับ ขายไม่ได้....

ดังนั้น  ข้อ1 .............

-ลด ขนาดภาพก่อนอัพโหลดครับ  โดยลดขนาดให้กว้างไม่เกิน 800 pix   เดี๋ยวนี้จอส่วนใหญ่คนเล่นที่ประมาณ 1024 pix   คุณจะอัพภาพใหญ่กว่านั้นก็ไม่มีประโยชน์
-ลดคุณภาพ ก่อนอัพโหลด   ลองไปดูนะครับ  อย่างโปรแกรม ACDSee เราสามารถลดคุณภาพภาพ jpeg ได้  ลดให้เหลือ 20% เลย  ภาพส่วนใหญ่ยังดูรู้เรื่อง

ทำ 2 แบบนี้ ภาพจะเหลือประมาณ 100 KB เอง ครับ (0.1 MB)

ข้อ 2... advance มากขึ้น

ผม แนะนำว่าให้จดโดเมน + เช่าโฮสต่างประเทศครับ  แล้วอัพภาพผ่าน FTP ขึ้นไปเลย   เร็วกว่าด้วย  แล้วเอาลิงค์ของภาพไปแปะ.... คุณอาจต้องมีความรู้เรื่อง html ขึ้นมาหน่อย

ตัวอย่างเช่น จดโดเมน www.mypicture.com  คุณก็สร้าง subdir อันนึง เช่น /mypic  แล้วก็อัพภาพลงไป  เช่น 123.jpg

แล้วคุณก็เอาลิงค์นี้ไปแปะ ==>

โค๊ด:
<img src="http://www.mypicture.com/mypic/123.jpg">
  แค่นี้ก็ได้ภาพแปะแล้ว

ถ้า ให้ hiso มากขึ้น  ศึกษาเรื่อง PHP + MySQL ไปเลย แล้วอัพภาพลงฐานข้อมูล  ก็ได้อีกแบบ  ถ้าทำได้ สามารถเขียนแทรกลายน้ำลงภาพได้เลย  โค้ดก็ไม่ได้ยาวมาก



ลองดูนะครับ อันหลัง ๆ นี่อาจจะยากนิดนึง  ทำแค่จดโดเมนแล้วอัพภาพขึ้นโฮสก็พอครับ
วันนี้ มา review หนังสือล่ะกันครับ  ผมเองก็ซื้ออ่านเกือบทุกเล่ม  จะลองแนะนำเล่มที่ผมอ่านแล้วคิดว่า OK นะครับ

ปล. ทุกเล่มที่ผม review ผมซื้อเกือบทุกเล่มเลย  หมดไปเยอะ



เล่มนี้ ผมว่าเจ๋งสุดแล้วครับ  ละเอียดมาก  เพราะคนเขียนเค้าขายเองจริง  เป็นเล่มแรกที่ผมซื้อเลย  แล้วก็อ่านจบใน 2 ชม. ไม่พักเลย



เล่มนี้เป็นเล่ม 2 ที่แนะนำให้ซื้อควบไปเลยครับ  ถ้ายังขายตลอด  ได้ใช้แน่ ๆ


รู้สึกว่าคนเขียนเล่มนี้เป็นน้องสาวของคนเขียนเล่มแรก  แนะนำเช่นกันครับ  เพราะแนะนำปัญหาต่าง ๆ ไว้เยอะ



เล่มนี้ก็พอใช้ได้ครับ เพราะประธานชมรมไทยอีเบย์เขียนเอง  จะเน้นไปเรื่องปัญหา และการเปรียบเทียบกำไร


เล่มนี้ เป็นเล่มแรกที่เขียนบอกเลยว่าจะเอาของที่ไหนมาขายครับ  แนะนำอีกเล่ม


รวมเทคนิคครับ  แนะนำให้อ่านด้วย


อันนี้ก็แนะนำเลยครับ  เทคนิคเยอะมาก ๆ


เล่มนี้เหมาะกับคนที่อยากเปิด store ครับ  อาจหายากนิดนึง

ส่วน เล่มอื่น ๆ ที่ผมไม่ได้นำเสนอนั้น  บอกตรง ๆ ว่าไม่ได้ซื้อครับ แค่ยืนอ่านเฉย ๆ   แต่ถ้าอ่านหมดนนี่  ผมว่ามันก็ครอบคลุมหมดแล้วนะครับ  อะไรที่ไม่มีกล่าวถึง ค่อยมาถามในบอร์ดเอา....

ขอเสริมเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับอีเบย์โดยตรงนะครับ  มันเป็นเรื่องของการซื้อหนังสือเล่มไหนดี

ผม เคยเห็นเพื่อน ๆ รุ่นน้อง หรือมือใหม่ ซื้อหนังสือมาอ่าน เพราะคนอื่นแนะนำ แต่พอเอาเข้าจริง มันกลับยากและทำไม่ได้   วันนี้ผมมีวิธีการซื้อหนังสือยังไงให้คุ้มค่าครับ

1. ไปอ่านที่ร้านเลย   ต้องไปเลือกอ่านทีละเล่ม ๆ ที่เราสนใจครับ
2. เลือกเล่มที่ เราอ่านเข้าใจสุด  แม้มันไม่ละเอียดสุด  เราค่อยมาซื้อเล่มละเอียด ๆ ทีหลังก็ได้
3. เลือกเล่มที่ ขายดีสุด  เพราะแสดงว่าคนส่วนใหญ่เข้าใจ

อย่าซื้อเพราะ...
1. เห็นว่ามันเป็นเล่มที่ใหญ่ และละเอียดสุด  มันจะยากเกินไป  จนทำตามไม่ได้
2. เป็นเล่มที่เทพแนะนำ แต่คุณอ่านยังไงก็ไม่เข้าใจ

แล้วถ้าซื้อมาแล้วล่ะ

ผมแนะนำว่ากลับไปดูเล่มที่อ่านเข้าใจง่ายกว่าครับ  แล้วค่อยกลับมาอ่านอีกที


โพสนี้ดูแป้ก ๆ ยังไงไม่รู้.... +1 หน่อยนะครับ รู้สึกอาย ๆ ยังไงไม่ทราบ  Lips Sealed
เริ่มหมดมุก  ไม่มีค่อยมีใครถาม

เอาเป็นว่าสรุป roadmap นะครับ

ใครที่ต้องการขายของออนไลน์ต่างประเทศก็ทำดังนี้

1. หาความรู้เรื่องอีเบย์มาอ่าน  ตามหนังสือที่ผมแนะนำไป หรือที่คุณอ่านรู้เรื่อง
2. ต้องมีคอมต่อ adsl  แล้วก็กล้องถ่ายรูป digital อันนึง
3. บัตรเครดิต และสมุดบัญชี  ไปทำ paypal   
4. เงินทุนซื้อของมา แบบที่บอกไว้ประมาณ 5 พัน (จริง พันสองพันก็ได้ แต่รวยช้า)
5. ไปหาของแบบจับเสื้อมือเปล่า แบบที่บอกไว้
6. ขายของออก  ดึงเงินกลับ ซื้อใหม่  ทำไปเรื่อย ๆ
7. มีปัญหา อย่าท้อ....  ให้สู้...  ผมพูดตรง ๆ ว่างานขายของทางเน็ตนี่ ง่ายกว่าไปทำก่อสร้าง แบกปูนซะอีก  แต่แน่นอน เราก็ต้องเจอปัญหาอะไรที่มัน advance กว่าแน่นอนครับ

คราวนี้จะเริ่ม advance ขึ้นไปอีก

8. เปิดตลาดเพิ่ม ลองไปขายที่ ioffer  ลองอ่านเล่มนี้ ครับ



ของคุณอนุชา ลีวรกุล   จริง ๆ ผมว่าหนังสือของเค้าดีทุกเล่มนะ  ก็แนะนำ ๆ 

9. ทำเว็บเองเพิ่ม  ด้วยเหตุผลที่ผมบอกไป  ถ้าไม่รู้จะเริ่มยังไง ใช้อะไรก็ใช้ CMS opensource ฟรี  แนะนำ 2 เล่มนี้

 

555+  โฆษณาหนังสือตัวเองซะเลย  แต่ถ้าให้พูดตรง ๆ ก็คือผมมั่นใจในหนังสือผมนะ  เพราะพื้นฐานการเขียนก็คือมาจากตัวผมเองที่อยากลองขายของทางเน็ต แต่สมัยนั้น (พูดเหมือนนานมาแล้ว  แต่ก็พอสมควร เพราะเล่มแรกก็เกือบ 3 ปีแล้ว)  ไม่มีใครเขียนเลยกะเรื่อง แนว ๆ ร้านค้าออนไลน์ เลยเขียนเองซะเลย
เอาเป็นว่าอยากทำเว็บเพิ่ม ลองพิจารณาอ่านดูหน่อยนะครับ

10. ถ้าอยากให้ไปได้ไกลยิ่งขึ้น  ศึกษาเรื่อง SEO บ้างครับ เพื่อดันเว็บเราให้ดีขึ้น  ที่น่าสนใจก็มี 4 เล่ม ครับ



ชอบเล่มไหนก็หยิบเล่มนั้น

ครบ 10 ข้อแล้ว  อ่านจบก็ไม่รวย ถ้าไม่ลองทำครับ

ปล. แต่ผมไม่ได้ทำแล้วตอนนี้ เพราะงานหลักมันเยอะมาก  ไม่ค่อยว่างแล้ว..  Lips Sealed
ปล. เพิ่ม... พอดีผมไม่ค่อยชอบแก้กระทู้ครับ

เรื่องอีเบย์  ยังไงก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ของผมที่เอามาเล่าให้ฟังนะครับ  อย่างอื่นก็เป็นแนวคิดเสริม ว่าจะต่อยอดต่อไปอย่างไร

แต่ ของผมเอง ตอนนี้ก็ลองมาทำ aff hotel , amazon , ก็ไม่ค่อยสำเร็จ   แต่เรื่อง ebay กับ joomla  ก็พอตัวครับ  ถือว่าเอามาแชร์กันแล้วกัน  เพราะตอนนี้ก็ไม่ได้ทำอีเบย์แล้ว  (แต่ถ้ามีโอกาสอีกก็ทำ  เพราะมันสนุกดี) 

โชคดีนะครับ