ทักทายกันหน่อย

สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับสู่เวบไซต์ Thai ebaY Articles ผมตั้งใจทำเวบนี้ขึ้นมาเพื่อรวมรวบสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวกับอีเบย์ให้อ่านง่ายขึ้นครับ ... ขอบคุณครับ

30 ตุลาคม 2555

Selling on Amazon – Step by Step

จากกระทู้ที่ผมโพส ว่าสมัครเป็นผู้ขายสินค้าใน Amazon.com ไป แต่รอการอนุมัติ ให้ขายสินค้าในหมวดที่ต้องขอก่อน มีหลายคนหลังไมค์มาสอบถามว่า ทำยังไงบ้าง ผมเลย มาอธิบายไว้ที่นี่เลยล่ะกัน
   ที่ ผมสมัครเป็นแบบ Sell Professionally ก็คือ ขายสินค้ามากกว่า 40 รายการต่อเดือน เพราะสินค้าที่ผมมีแผนว่าจะขายนั้นมีอยู่ประมาณ 300 รายการ โดยเสียค่าเปิดร้าน $39.99 ต่อเดือน
และยังต้องเสียค่าธรรมเนียมหากขายได้อีก (แต่ละหมวดสินค้าก็ไม่เท่ากัน) แต่ไม่จำกัดจำนวนชิ้นเลย จะขายกี่ชิ้นก็ได้ ไม่มีกำหนด
   ส่วน อีกแบบก็คือขายเป็นรายชิ้น คิดชิ้นละ $0.99 บวกค่าธรรมเนียม แต่แบบนี้ให้ขายได้ไม่เกิน 40 ชิ้นต่อเดือน แต่แบบรายเดือนจะมีข้อดีกว่า คือได้รับการโปรโมตมากกว่า สามารถกำหนดค่าส่งเองได้

   ถ้าไม่แน่ใจ ว่าสินค้าที่เล็งไว้ จะขายได้หรือเปล่า ลองแบบเป็นชิ้นก่อนก็ได้ครับ แล้วค่อยเปิดร้าน เพราะว่า $39.99 ต่อเดือนนี่ก็เอาเรื่องอยู่เหมือนกัน

มาถึงขั้นตอนการสมัคร สำหรับ Amazon.com ( แต่ผมลองดูแล้ว Amazon.co.uk ก็คล้าย ๆ กันนะครับ แต่ไม่เคยสมัครจริง)
Amazon .com ไปที่หน้านี้ →  http://www.amazonservices.com/content/sell-on-amazon.htm# !how-it-works
สำหรับ Amazon.co.uk → http://services.amazon.co.uk/s...s/sell-on-amazon/how-it-works/ )




คลิ๊กที่ Start Selling ที่อยู่ในช่อง Sell Professionally (เดือนแรกฟรี) จะเข้าสู่ขั้นตอนการลงทะเบียนเป็นผู้ขายครับ



หน้าแรก
ช่องที่ 1 -- ใส่ชื่อ และนามสกุล ภาษาอังกฤษ ให้ตรงกับบัตรเครดิต (หรือเดบิต)
ช่องที่ 2 -- อีเมลล์ ที่จะใช้ในการสมัคร
ช่องที่ 3 –- พิมพ์อีเมลล์ อีกครั้งให้เหมือนเดิม
ช่องที่ 4 –- พาสเวิร์ด (ที่จะใช้ในการ Log in นะครับ ไม่ใช้ของอีเมลล์)
ช่องที่ 5 –- พาสเวิร์ด อีกครั้ง
ช่องที่ 6 -- ชื่อร้านที่จะใช้หรือชื่อธุรกิจ หากไม่มี ก็ใช้ชื่อเราก็ได้

แล้วก็กด Check box ด้านล่างเพื่อยืนยันว่ายอมรับข้อตกลงต่าง ๆ

ส่วน ในช่องทางขวามือ You are signing up for….. หากมีการรวมบริการอื่น นอกจาก Selling on Amazon – Professional แล้ว ให้กดปุ่ม Remove ออกให้หมดนะครับ ไม่งั้นโดนคิดค่าบริการเพิ่ม

เสร็จแล้ว ก็กดที่ปุ่ม Continue ไปขั้นต่อไป



 ขั้นต่อไป - Account Information
ช่องที่ 7  --  ชื่อร้านที่ต้องการให้แสดงใน Amazon
ช่องที่ 8  --  เหมือนกับช่องที่ 6 ของหน้าที่แล้วครับ เวปจะดึงข้อมูลมาเอง
ช่องที่ 9  --  ที่อยู่ ควรจะให้ตรงกับที่อยู่ของบัตรเครดิต
ช่องที่ 10 --  เมือง
ช่องที่ 11 --  จังหวัด
ช่องที่ 12 --  รหัสไปรษณีย์
ช่องที่ 13 –-  ประเทศ
ช่อง ที่ 14 --  เบอร์โทรศัพท์ ที่ติดต่อได้จริง ๆ เพราะจะต้องมีการยืนยันด้วย ให้เริ่มด้วย +66 แล้วก็ตัด 0 ตัวเแรกของเบอร์ออก (หากมีเบอร์บ้าน ใช้เบอร์ที่บ้านดีกว่า เพราะ touch screen มักจะมีปัญหาเวลากดหมายเลย ตอนยืนยันตัวตน)

เสร็จแล้ว ก็กดปุ่ม Continue ไปหน้าต่อไปได้เลยครับ



 ขั้นต่อไป - Credit Card

หน้า นี้เราต้องใส่ข้อมูลบัตรเครดิต แต่ผมไม่แน่ในว่าพวก Be 1st  หรือ K –web card จะใช้ได้หรือเปล่านะครับ ใครลองใช้แล้ว ได้ผลยังไง ช่วยมาอัพเดทไว้ด้วยล่ะกัน
ช่องที่ 15 --  ชนิดของบัตร
ช่องที่ 16 --  ชื่อเจ้าของบัตร
ช่องที่ 17 --  หมายเลขบัตร
ช่องที่ 18 --  วันหมดอายุของบัตร เป็นรูปแบบ เดือน - ปี
ช่องที่ 19 --  ที่อยู่ในการส่งเอกสารของบัตรเครดิต หากเหมือนกับที่อยู่ในขั้นที่แล้ว ให้กดที่ Check box ได้เลย
ช่องที่ 20 -- หากไม่เหมือน ต้องใส่ที่อยู่ในช่องนี้ครับ

ใน ขั้นตอนนี้ หากใส่ข้อมูลเสร็จ แล้วบัตรใช้ได้ หลังจากกด Continue แล้ว ระบบจะทำการตัดเงิน $1.00 เพื่อทดสอบว่าบัตรใช้ได้จริงหรือเปล่าด้วยนะครับ



 ขั้นต่อไป - IDENTITY VERIFICATION
คราวนี้ ระบบอัตโนมัติจะทำการโทรมาหาเราตามเบอร์โทรศัพท์ที่เราได้ใส่ไว้
โดยดูเบอร์ได้จาก Primary Business Number :
แต่หากไม่สะดวก หรือไม่ได้เติมเงิน สามารถให้โทรมาที่เบอร์อื่นได้
โดย คลิกที่ No, call me in the next few minutes at: แล้วก็ใส่เบอร์โทรในช่องด้านล่าง (ไม่ต้องใส่ในช่อง ext) อยู่ในรูปแบบเดียวกัน ก็คือ ใส่ +66 ก่อน แล้วก็ตามด้วยเบอร์โทร โดยต้องตัดเลย 0 ข้างหน้าออกก่อนนะครับ

พร้อมแล้ว ก็กดที่ Call me Now ได้เลย


 สัก 2-3 วินาที ก็จะมีชาวต่างชาติ โทรมาหาคุณ เขาจะพูดว่า Hello, this is automatic call from Amazon …….

ส่วนหน้าเวป ก็จะเปลี่ยนไปเป็นหน้านี้



ให้ กดตัวเลขทั้ง 4 ตัวที่ปรากฎ หลังคำว่า Your PIN : (ตัวเลขจะไม่เหมือนกันนะครับ อย่ากดตามหน้านี้ล่ะกัน) โดยไม่ต้องรอให้ลุงนั่นพูดจบครับ กดแทรกไปได้เลย

ถ้ารหัสถูกต้อง หน้าเวป ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป โดยอัตโนมัติ เป็นขั้นตอน Identity verification complete แล้วก็กดวางโทรศัพท์ได้เลย



กด Continue ต่อไปได้เลย

 หน้า สุดท้าย ก็เป็นการสรุปข้อมูลทั้งหมด ที่เราใช้ในการสมัคร หากต้องการแก้ไขจุดไหน ก็ให้กดปุ่ม Edit ได้เลย และก็ยังสามารถ Add Bank Account ที่สำหรับใช้ในการรับเงิน ได้ตรงตำแหน่ง 21 ที่จะใช้ได้อย่างเดียว ก็คือรับเงินผ่านบัญชีธนาคารกรุงเทพ สาขานิวยอร์ค (หรือหากมีบัญชี ที่สหรัฐ จริง ๆ ก็ใช้ได้นะครับ และยังมีอีกหลายที่) มาเข้าบัญชีในประเทศไทยนี่แหละ

ถ้ายังไม่มีบัญชีออมทรัพย์ธนาคารกรุงเทพ ให้กด Confirm ไปก่อน ค่อยมา ใส่บัญชีทีหลังก็ได้
ก็เป็นอันเสร็จสิ้นการสมัครครับ




ส่วนเรื่องการ add Bank account ก็พอมีคนอธิบายเอาไว้บ้าง แต่เดี๋ยวผมมาอัพเดทให้ที่นี่ล่กัน

แต่ผมยังไม่ได้ขายนะครับเพราะหมวดสินค้าที่จะขาย ต้องรอการ Approve ก่อน เลยยังไม่ได้ลองอะไรเลย แค่สมัครอย่างเดียวครับ


ที่มา thaiseoboard.com