ทักทายกันหน่อย

สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับสู่เวบไซต์ Thai ebaY Articles ผมตั้งใจทำเวบนี้ขึ้นมาเพื่อรวมรวบสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวกับอีเบย์ให้อ่านง่ายขึ้นครับ ... ขอบคุณครับ

ตั้งราคาขายของอีเบย์อย่างไรไม่ให้ขาดทุน

ผมเคยเขียนบทความนี้ใบแปะไว้บน thaiebayuser นานแล้วครับเมื่อครั้งที่หัดขายใหม่ๆ คือเขียนลงไว้ในวันที่ 28/09/10 เนื้อหาเก่าไปหน่อยจนอีเบย์เปลี่ยนวิธีการคิดค่าธรรมเนียมไปแล้ว แต่หลักการคิดยังใช้ได้เหมือนเดิมครับ แล้วถ้ามีเวลาผมจะมาอัพเดทให้ใหม่นะครับ



ปัญหาของคนขายของอีเบย์ใหม่ๆ คือเราต้องตั้งราคาขายเท่าไหร่ถึงจะไม่ขาดทุน ผมยังจำได้ ช่วงแรกที่ผมขายของใหม่ๆ ขาดทุนชิ้นละ 20 -50 บาท ไม่คุ้มค่าเหนื่อยเลย

เตือนไว้ก่อน บทความนี้เหมาะสำหรับนักขายมือใหม่ มือเก๋าๆแล้ว ช่วยแนะนำด้วยนะครับ ข้อความบางช่วงอาจจะดูตลกๆ อ่านแล้วเข้าใจยาก นั่นก็เพราะว่าผมเองก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเล๊ย...

สิ่งที่ต้องรู้
1. ต้นทุนสินค้า {A}
2. ค่าใช้จ่ายในการแพ็คกิ้ง {B}
3. ค่าส่ง {C}
{A} + {B} + {C} = คือต้นทุนของเรา


4. Insertion fee {F}
5. FVF fee {G}
6. Sell through {H}
7. ค่าเงินบาทจาก www.xe.com {I} ในบทความนี้กำหนดให้เป็น 30 บาท และใช้ในกรณีถอนจาก PayPal เข้าบัญชีไทยโดยตรง

==========
ขอยกตัวอย่างสินค้าเป็นเสื้อยืด
1. ต้นทุนสินค้า
อันนี้ง่ายสุด สมมุติว่าซื้อเสื้อมา ตกตัวละ 100 บาท ต้นทุนมันก็คือ 100 บาท
{A} = 100

2. ค่าใช้จ่ายในการแพ็คกิ้ง
คุณคงไม่ได้ส่งเสื้อไปเปล่าๆ มันต้องมีการบรรจุ...บห่อให้สวยงามก่อนส่ง ถึงลูกค้า
ตัวอย่างของค่าใช้จ่ายส่วนนี้ก็อย่างเช่น
ซอง, กล่อง, กระดาษ, หมึกปริ้นท์, เทปกาว, กาว, แม๊ก, บั๊บเบิ้ล, เม็ดโฟม
เสื้อยืดตัวเนี้ยะ ผมส่งใส่ซองไป ค่าใช้จ่ายส่วนเนี้ยะก็คือ 10 บาท (คิดเป็นเลขกลมๆ)
{B} = 10

3. ค่าส่ง
ค่าส่งเนี่ยะ จะหากได้จากน้ำหนักของสินค้าและประเทศปลายทาง
ใคร ที่ไม่มีเครื่องชั่ง ครั้งจะไปขอน้ำใจแม่ค้าในตลาด ครั้ง สองครั้งก็พอจะได้ พอบ่อยๆ เข้าก็ดูจะไม่เหมาะ ก็จะแนะนำว่าหาซื้อเครื่องชั่งเล็กๆติดบ้านไว้ก็ไม่เสียหาย ของพวกนี้ซื้อครั้งเดียวใช้ได้นานโข (ไอ้ผมก็ขอแนะนำเครื่องชั่งแบบแขวนหาซื้อได้จาก ebaY อันละไม่เกิน 200 บาท ลองค้นหาด้วยคำว่า Hang Weighter)
สมมุติว่าผมชั่งของที่จะส่งได้ 300 g

ยัง.. ยังไม่จบ เราต้องเอาน้ำหนักที่ได้ไปหาเป็นค่าส่งอีกทีนึง
ค่าส่งหามาได้จากเวบของไปรษณีย์ไทย
http://www2.thailandpost.com/search_ems.asp

อีกวิธีนึง ผมได้สรุปออกมาเป็นสูตรที่จำได้ง่ายๆ ตามข้างล่างนี้

Small Package อเมริกา              Y = 0.6W + 6 (Step20)
Small Package ยุโรป โอเชียเนีย  Y = 0.5W + 6 (Step20)
Small Package เอเชีย                 Y = 0.4W + 4 (Step20)
Air Mail อเมริกา                            Y = 0.9W+10 (Step10)
Air Mail ยุโรป โอเชียเนีย                Y = 0.7W + 10 (Step10)
Air Mail เอเชีย                               Y = 0.5W + 9 (Step10)
Y คือ ราคาค่าส่ง
W คือ น้ำหนักเป็นกรัม (g)
Step10,20 คือ ช่วงของน้ำหนัก ถ้าของหนัก 83 g ส่งแบบ SmallPackage จะถูกคิดราคาเป็น 100 g และถ้าส่งแบบ AirMail จะถูกคิดราคาเป็น 90 g

กลับมาที่เสื้อยืดของเราต่อ
พัสดุผมหนัก 300g ส่งไปอเมริกาแบบ Air mail จะต้องเสียค่าส่งเท่าไหร่ ?? ............... ให้เวลาคิดแปบนึงก่อน ค่อยดูเฉลย
...
..
.
เฉลย 280 บาท
{C} = 280 --- ถ้าต้องลงทะเบียนก็รวมในขั้นตอนนี้ให้เสร็จสรรพ
{A} + {B} + {C} = 100 + 10 + 280 = ฿390
เพราะฉะนั้น ประเมินดูคร่าวๆ เราก็ไม่ควรจะขายต่ำกว่า $13 เข้าไปแล้ว

คำถามต่อมาคือ
ถ้าต้องการขายเสื้อตัวนี้ให้ได้กำไร 90 บาท ต้องตั้งราคาของและค่าส่งเท่าไหร?
บางคนอาจจะคิดว่า ก็ไม่เห็นยากก็แค่บวกเพิ่มไปอีก $3 ก็จะได้กำไร ฿90
เอ่อ ... อันนี้ผมก็ไม่เถียง
เอาเป็นว่าเรามาพิสูจน์กันดีกว่า ว่าถ้าผมขายเสื้อตัวนี้ราคา $16 แล้วจะได้กำไร ฿90 จริงหรือไม่

สมมุติว่าผมตั้งราคา
{D} ค่าของ $0.99
{E} ค่าส่ง   $15.01
รวมเป็น $16 พอดิบพอดี

4. Insertion fee
ค่าวางสินค้าหาได้จาก http://pages.ebay.com/help/sell/fees.html
ใช้ แล้ว... ตอนนี้อีเบย์มีโปรโมชั่น สินค้าเริ่มต้นประมูลไม่เกิน $0.99 ลงฟรี 100 ชิ้นต่อเดือน -- แต่เราคงไม่ได้ลงของ แค่ 100 ชิ้นต่อเดือนหรอกนะ -*-
ถ้าอย่างงั้นค่าวางสินค้าก็เป็น $0.1
{F} = 0.1

5. FVF fee
FVF fee หาได้จาก http://pages.ebay.com/help/sell/fees.html (ที่เดิม)
เสื้อยืดเราลงในหมวดเสื้อผ้า เพราะฉะนั้นอีเบย์จะคิด FVF เรา 9%
{G} = $0.99 * 9% = $0.09

6. Sell through
ที่มา http://en.wikipedia.org/wiki/Sell-through
ค่านี้ชื่ออย่างเป็นทางการเค้าเรียกกันว่าอะไรไม่รู้ แต่จะขอยกตัวอย่างตามนี้
สมมุติ คุณเปิดร้านหนังสือ เดือนนี้คุณขายหนังสือได้ 100 เล่ม ระหว่างเดือนรับหนังสือเข้ามาอีก 300 เล่ม ปลายเดือน (EOM)คุณมีหนังสือเหลืออยู่ 900 เล่ม
สต๊อกสินค้าตอนต้นเดือน (BOM) = 900 - 300 + 100 = 700 เล่ม
ค่า Sell through = ขายได้ 100 / BOM 700 = 14.3%
ค่าเนี้ยะผมใช้วิธีกะๆ ประเมินๆ เอา แต่ถ้าเราจ่ายเงินใช้บริการของ Terapeak อยู่ เจ้าค่าเนี้ยะเค้าจะมีบอกเอาไว้

กลับมาที่เรื่องของเราต่อ
ผมประเมินว่า Sell through ของผมคือ 30% แล้วกัน
{H} = 30%

7. ค่าเงินบาทจาก www.xd.com
เอ่อ... ใครยังจำได้มั่ง บทความนี้ผมระบุไว้ 30 บาท เขียนไว้ด้านบนนู่นแหน่ะ และใช้ในกรณีถอนจาก PayPal เข้าบัญชีไทยโดยตรง ถ้าใช้วิธีถอนผ่าน BBL NY ก็ต้องคิดอีกเรตนึง
{I} = 30

ทีนี้มาถึงส่วนที่จะทำให้ทุกคนสับสนมากที่สุด โดยผมจะแยกคิดเป็นทีละส่วนๆ แล้วค่อยมารวมกันอีกที
(a)....Insertion Fees
{F} / {H}
= 0.1 / 0.3
= 0.33
แก้ไขสูตร sell through 7 ต.ค. 53

(b)....FVF Fees
{G} * 9%
= 0.09

(c)....PayPal Fees
(({D} + {E}) * 0.04) + 0.3
= ((0.99 + 15.01) * 0.04) + 0.3
= 0.94

ดังนั้น จาก $16 เหรียญที่เราขายได้จะเหลือเงินสดถึงกระเป๋าเรา
{D} + {E} -  (a) - (b) - (c)
= 0.99 + 15.01 - 0.33 - 0.09 - 0.94
= $14.64

คิดแล้วเราก็น่าจะได้กำไร $14.64 - $13 = $1.64 ตีเป็นเงินไทยก็ 49.2 บาท
แต่ยัง!! ยังไม่จบแค่นั้น
ตอนที่เราถอนเงินจาก PayPal เข้าธนาคารในไทยก็จะมีค่าธรรมเนียมเกิดขึ้นอีก 2.7%

(d) Withdrawal Fees
{I} * 0.027
= 30 * 0.027
= 29.19

เอาหล่ะจบแล้ว ทีนี้เราถึงจะคำนวณกำไรสุดท้ายของเราได้เท่ากับ
($14.64 - $13) * 29.19 = ฿47.8

ด้วย วิธีคิดข้างต้น เราก็ตอบคำถามได้แล้วสินะว่า ถ้าเราขายเสื้อตัวนี้ราคา $16 เราก็ได้กำไรแค่เพียง ฿47.8 ถ้าอยากได้กำไร ฿90 เราก็ใช้วิธีเดิมในการคำนวณหากำไรส่วนต่าง เพื่อที่จะได้ไม่เจ็บตัวกันอีกต่อไป
ผมคงไม่คำนวณให้ดูอีกรอบแล้วแหละ ถือว่าเป็นการบ้านสำหรับคนที่อยากรู้แล้วกัน

เอาเป็นว่า ถ้าผมมีเวลาว่างอีก จะเขียนโปรแกรม Excel เอาไว้ให้ไปคำนวณกันง่ายๆ กว่านี้
อัพเดท 4 ตุลาคม 2553
ทำให้แล้วนะครับ โปรแกรมช่วยตั้งราคาขาย ตอนนี้ปิดใช้โปรแกรมนี้ไปแล้ว เพราะชอบมีคนมาแก้ไขสูตรที่ผมเขียนไว้ และยังไม่มีวิธีป้องกันที่ดีกว่านี้ครับ

สุด ท้ายแล้ว สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มขายของ การตั้งราคาต่ำๆ เพื่อตัดราคาหรือด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่ ลองคิดดูดีๆ ว่ากำไรมันคุ้มกับเวลาที่เสียไปแล้วหรือ จริงอยู่ถ้าเราขายได้กำไรน้อยๆ ส่งของทีละมากๆ นั่นหมายความว่าเราก็ต้องเสียเวลา เสียแรงงานมากตามไปด้วย ซึ่งจริงๆ แล้วรายได้ของเราอาจจะพอๆ กับคนที่ตั้งราคาได้สมเหตุสมผลมากกว่า
ความ เห็นผมคือ จริงๆ แล้วตัวตัดสินที่จะทำให้คุณขายสินค้าได้ ไม่ได้อยู่ที่ราคาอย่างเดียว มันยังขึ้นอยู่กับ การเขียนคำอธิบาย รูปประกอบ เวลาในการลงของ รูปแบบการขาย ฯลฯ ดังนั้นถ้าเรายังขายของไม่ได้ อย่าเพิ่งคิดจะลดราคาสู้นะครับ เดี๋ยวจะเหนื่อยฟรีกันซะก่อน ให้ลองดูส่วนประกอบอื่นๆ ค่อยปรับปรุงกันไป

*หวังว่าคงมีประโยชน์นะครับ
**ขาดตกบกพร่องตรงไหน ช่วยแจ้งด้วยนะครับ
***ผมไม่ค่อยได้เข้าบอร์ด PM มาอาจจะไม่ได้ตอบนะครับ
****ถ้ามีคนเคยเขียนบทความประเภทนี้อยู่แล้ว ถือซะว่าเป็นอีกแนวทางนึงแล้วกันนะครับ ไม่ได้ถูกต้องเป๊ะ! 100%